วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ไวโอลิน
ไวโอลิน
ไวโอลิน เป็นเครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงระดับเสียงสูงในกลุ่มเครื่องดนตรีคลาสสิกประเภทเครื่องสาย (String instruments) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากโลกตะวันตก เป็นเครื่องดนตรีตระกูลไวโอลินที่เล็กที่สุด อันประกอบไปด้วย ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส เมื่อนำทั้งหมดมาเล่นร่วมกันแล้วจะเรียกว่า วงเครื่องสาย(string) ซึ่งเป็นตระกูลเครื่องดนตรีหลักของ วงออร์เคสตรา
ประวัติ ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดไวโอลินได้ปรากฏขึ้นเมื่อช่วงเวลาใด แต่คาดว่าปรากฏขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลีช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเชื่อกันว่าผู้ผลิตนั้นดัดแปลงมาจากเครื่องดนตรียุคกลาง 3 ชนิด อันได้แก่ เรเบค (rebec) ซอเรอเนซองซ์ (the Renaissance fiddle) และ ลีรา ดา บราชโช (lira da braccio) ซึ่งเครื่องดนตรีทั้ง 3 ชนิดนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับไวโอลิน แต่หลักฐานที่แน่นอนที่สุดก็คือ มีหนังสือที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับไวโอลินในปี พ.ศ. 2099 (ค.ศ. 1556) แล้ว โดยได้ตีพิมพ์ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส และคาดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ไวโอลินน่าจะเผยแพร่ไปทั่วทวีปยุโรปแล้ว
ไวโอลินที่ถือว่าเป็นคันแรกของโลกถูกสร้างขึ้นโดย อันเดร์ อมาตี (Andrea Amati) ในช่วงครึ่งศตวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยการว่าจ้างของครอบครัวเมดิซี ซึ่งต้องการเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ต่อมาด้วยคุณภาพที่ดีของเครื่องดนตรี พระเจ้าชาลส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ อันเดร์ ประดิษฐ์ไวโอลินขึ้นมาอีก เพื่อมาเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประเภทใหม่ของวงออร์เคสตราประจำของพระองค์ และไวโอลินที่เก่าแก่สุดและยังให้เห็นอยู่ คือไวโอลินที่ อันเดร์ ประดิษฐ์ขึ้นในเมืองเครโมนา (Cremona) ประเทศอิตาลี ซึ่งได้ถวายแด่ พระเจ้าชาลส์ที่ 4 เช่นกันตรงกับปี พ.ศ. 2109 (ค.ศ. 1566)
โครงสร้างไวโอลิน[แก้]
โครงสร้างของไวโอลิน เรียงจากบนไปล่าง
- หัวไวโอลิน (Scroll)
- โพรงลูกบิด (Pegbox)
- คอ (Neck)
- สะพานวางนิ้ว หรือ ฟิงเกอร์บอร์ด (Fingerboard)
- (Upper Bout)
- เอว (Waist)
- ช่องเสียง (F-holes)
- หย่อง (Bridge)
- (Lower Bout)
- ตัวปรับเสียง (Fine Tuners)
- หางปลา (Tailpiece)
- ที่รองคาง (Chinrest)
ขนาดมาตรฐานของไวโอลินคือ ยาว 23.5 นิ้ว และ คันชักยาว 29 นิ้ว
การดูแลรักษาไวโอลิน
ไม้กับความชื้น (Wood and Water)[แก้]
ไม้ไม่สามารถรักษาสภาพของตัวเองได้ดีนักเมื่อถูกความชื้น แม้ว่าไม้จะคงรูปได้ดีขึ้นหลังจากที่ผ่านกระบวนการอบเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ไม้ยังคงพองหรือบวมเมื่อถูกความชื้น และหดตัวเมื่ออากาศแห้ง ไม้ที่ใช้ทำชิ้นส่วนบางอย่างของไวโอลินจะคงรูปดีกว่าไม้ที่ใช้ทำเครื่องดนตรีอื่นๆ นอกจากนั้น ไม้ทุกชนิดจะหดตัวในแนวขวางของลายไม้มากกว่าการหดตัวตามยาว
ในช่วงเดือนที่มีความชื้นสูงๆ ไม้แผ่นหน้ามักจะเกิดการขยายตัวมากกว่าอาการคอไวโอลินตก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สายไวโอลินเหนือสะพานวางนิ้วลอยสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของความชื้นในอากาศอาจเป็นสาเหตุให้การเล่นและการตอบสนองของเสียงเกิดการแกว่งตัว และอาจทำให้เกิดปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ ไม้เกิดการปริแตกเมื่อสูญเสียความชื้นอย่างรวดเร็วกว่าที่มันดูดซึมเอาไว้ได้
การบิดตัวของไม้ (Distortion)[แก้]
ธรรมชาติของไม้มีความยืดหยุ่นในตัวเอง อาจจะค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างไปตามแรงที่มากระทำ ช่างทำไวโอลินอาศัยข้อดีอันนี้ในการขึ้นรูปแผ่นไม้ด้านข้าง (Rib) หรือการดัดไม้
แต่หย่องที่งอ ไม้แผ่นหลังที่ยุบ และคอไวโอลินที่ตก เป็นผลมาจากแรงกดอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม้เริ่มบิดตัว มันจะสูญเสียความแข็งแรงจากรูปทรงเดิมอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้เกิดความเสียหายหนักตามมา
อุณหภูมิ (Temperature)[แก้]
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม้เกิดการขยายตัวและหดตัวเช่นเดียวกับวัตถุอื่นๆ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของอุณหภูมิและ ความชื้นในไม้ ควรจะใช้กล่องไวโอลินแบบสูญญากาศอย่างดี และอย่าวางไว้ไกล้รังสีความร้อนหรือวางถูกแสงแดดโดยตรง กล่องไวโอลินเกือบทุกชนิดที่บุด้วยวัสดุผิวด้านสีเข้มจะมีผลต่อการดูดซับแสงให้แปรเปลี่ยนเป็นความร้อนได้มากกว่า
การเดินทาง (Travel) ขนส่ง (Shipping) การถือ (Carrying an instrument)[แก้]
ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ อย่าวางเครื่องดนตรีไว้ในกระโปรงท้ายรถ เพราะเครื่องดนตรีจะได้รับความร้อนมาก ทำให้ได้รับความเสียหาย
เมื่อต้องส่งเครื่องดนตรีไปทางพัสดุภัณฑ์ ให้คลายสายออกเล็กน้อยและใช้วัสดุนุ่มๆ บุที่หย่องทั้ง 2 ด้านเสียก่อน ควรเก็บเครื่องดนตรีไว้ในกล่องของมันเองเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นให้ห่อในกล่องสำหรับส่งของ บุรอบๆ กล่องด้วยวัสดุสำหรับห่อกล่อง
ถ้าหกล้มในขณะถือเครื่องดนตรี โดยสัญชาติญาณของคนส่วนใหญ่จะกอดกล่องไวโอลินไว้ข้างหน้า เพราะคิดว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เครื่องดนตรีแตกหักได้ แต่น่าเสียดายว่ากลับทำให้เครื่องดนตรีพังมา ควรใช้กล่องที่แข็งแรงซึ่งจะยึดไวโอลินให้ลอยอยู่ในกล่องเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการล้มคว่ำหงาย และพยายามหัดถือกล่องด้วยมือที่ไม่ถนัดให้เคยชิน เช่น ถือด้วยมือซ้ายถ้าคุณเป็นคนถนัดขวา ซึ่งจะทำให้เหลือมือข้างที่ถนัดไว้ป้องกันตนเองได้
การทำความสะอาด (Cleaning)[แก้]
การเช็ดทำความสะอาดตัวเครื่องและคันชักด้วยผ้านุ่มๆ สะอาดๆ หลังการเล่นทุกครั้งเป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นกิจวัตร ใช้เศษผ้าชุบแอลกอฮอล์เพื่อขจัดการเกาะตัวของยางสนบนฟิงเกอร์บอร์ด และสาย
สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือระวังไม่ให้แอลกอฮอล์สัมผัสกับผิวของวานิช และควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คสภาพไวโอลินเป็นประจำทุกๆ ปี ช่างอาจจะปล่อยรอยคราบบางอย่างเอาไว้ และใช้น้ำยาเคลือบผิวทับลงไปบนคราบสกปรกโดยไม่จำเป็นต้องเอาออกก็ได้ กรดจากผิวหนังของคุณสามารถทำลายผิวของวานิชได้อย่างช้าๆ ดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวของวานิช
คันชัก (Bow)[แก้]
ควรจะจับคันชักบริเวณ Frog ในขณะดึงหางม้า (Hair) ให้ตึง เพราะจะช่วยลดแรงกดที่เกลียวสกรูทองเหลือง (Screw) ที่อยู่ข้างในโคนด้ามคันชัก และช่วยป้องกันไม่ให้เกลียวหวานได้
ในขณะที่คุณเล่นไวโอลินนั้น หางม้าที่อยู่ด้านข้างคันชักที่คุณลากลงมักจะขาดก่อนเพื่อน ทำให้ความสมดุลของแรงดึงบนคันชักเสียไปจนอาจทำให้คันชักงอได้ ดังนั้นพยายามเปลี่ยนหางม้าบ่อยๆ และพยายามรักษาหนังหุ้มด้ามคันชัก (Pad หรือ Grip) ให้อยู่ในสภาพดี ถ้านิ้วโป้งของคุณไปเสียดสีกับด้ามคันชักบ่อยๆ จะทำให้คันชักได้รับความเสียหายเช่นกัน พยายามตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ และควรให้ความเอาใจใส่ปลายคันชัก (Tip) เป็นพิเศษ
ตัวอย่างเสียงไวโอลิน[แก้]
อ้างอิง[แก้]
วิธีอ่านโน๊ตและผังการวางนิ้ว
ดนตรีคลาสสิก
ดนตรีคลาสสิก
ดนตรีคลาสสิก (อังกฤษ: Classical music) เป็นรูปแบบหนึ่งของดนตรี ซึ่งมักจะหมายถึงดนตรีที่เป็นศิลปะของตะวันตก
การแสดงดนตรีคลาสสิกจะใช้เครื่องดนตรี 4 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ เครื่องสาย (String) แบ่งออกเป็น ไวโอลิน วิโอล่า เชลโล และ ดับเบิลเบสกลุ่มที่สอง คือ เครื่องลมไม้ (Woodwind) เช่น ฟลู้ต คลาริเน็ต โอโบ บาสซูน ปิคโคโล กลุ่มที่สาม คือ เครื่องลมทองเหลือง (Brass) เช่นทรัมเป็ต ทรอมโบน ทูบา เฟรนช์ฮอร์น กลุ่มที่สี่ คือ เครื่องกระทบ (Percussion) เช่น กลองทิมปานี ฉาบ กลองใหญ่ (Bass Drum) กิ๋ง (Triangle) เมื่อเล่นรวมกันเป็นวงเรียกว่าวงดุริยางค์หรือ ออร์เคสตรา (Orchestra) ซึ่งมีผู้อำนวยเพลง (conductor) เป็นผู้ควบคุมวง
ประวัติและเวลา[แก้]
ดนตรีคลาสสิกแบ่งออกเป็นยุค ดังนี้
ดนตรีคลาสสิกยุโรปยุคกลาง หรือ ดนตรียุคกลาง ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของดนตรีคลาสสิก เริ่มต้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) ซึ่งเป็นปีล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ดนตรีในยุคนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา คาดกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากดนตรีในยุคกรีกโบราณ รูปแบบเพลงในยุคนี้เน้นที่การร้อง โดยเฉพาะเพลงสวด (Chant) ในตอนปลายของยุคกลางเริ่มมีการร้องเพลงแบบสอดทำนองประสานด้วย
- ยุคเรเนสซองส์ (Renaissance) พ.ศ. 1943 - พ.ศ. 2143)
เริ่มเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1943 (ค.ศ. 1400) เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงศิลปะและฟื้นฟูศิลปะโบราณยุคโรมันและกรีก แต่ดนตรียังคงเน้นหนักไปทางศาสนา เพียงแต่เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรีที่หลากหลายขึ้น ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ายยุคกลางในสมัยศิลป์ใหม่ เพลงร้องยังคงนิยมกัน แต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น
- ดูเพิ่มที่ ยุคเรเนสซองส์
ยุคนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีการกำเนิดอุปรากรในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) และสิ้นสุดลงเมื่อ โยฮันน์ เซบาสเทียน บาค เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) แต่บางครั้งก็นับกันว่าสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2273 (ค.ศ. 1730) เริ่มมีการเล่นดนตรีเพื่อการฟังมากขึ้นในหมู่ชนชั้นสูง นิยมการเล่นเครื่องดนตรีประเภทออร์แกนมากขึ้น แต่ก็ยังคงเน้นหนักไปทางศาสนา นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น บาค วิวัลดี เป็นต้น
- ดูเพิ่มที่ ศิลปะบาโรค
- ยุคคลาสสิก (Classical) พ.ศ. 2293 - พ.ศ. 2363)
เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด มีกฎเกณฑ์ แบบแผน รูปแบบและหลักในการเล่นดนตรีอย่างชัดเจน ศูนย์กลางของดนตรียุคนี้คือประเทศออสเตรีย โดยเฉพาะที่กรุงเวียนนา และเมืองมานไฮม์ (Mannheim) เครื่องดนตรีมีวิวัฒนาการมาจนสมบูรณ์ที่สุด เริ่มมีการผสมวงที่แน่นอน คือ วงเชมเบอร์มิวสิค และวงออร์เคสตรา ซึ่งในยุคนี้มีการใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท และยังถือเป็นแบบแผนของวงออร์เคสตราในปัจจุบัน นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น โมสาร์ท เป็นต้น
- ยุคโรแมนติก (Romantic) พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2443)
เป็นยุคที่มีเริ่มมีการแทรกของอารมณ์ในเพลง มีการเปลี่ยนอารมณ์ การใช้ความดังความค่อยที่ชัดเจน ทำนอง จังหวะ ลีลาที่เน้นไปยังอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งต่างจากยุคก่อน ๆ ที่ยังไม่มีการใส่อารมณ์ในทำนอง นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น เบโธเฟน ชูเบิร์ต โชแปง วากเนอร์ บราห์มส์ ไชคอฟสกี้ เป็นต้น
- ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) พ.ศ. 2433 - พ.ศ. 2453)
พัฒนารูปแบบโดยนักดนตรีฝรั่งเศส มีเดอบุชซีเป็นผู้นำ ลักษณะดนตรีของยุคนี้เต็มไปด้วยจินตนาการ อารมณ์ที่เพ้อฝัน ประทับใจ ต่างไปจากดนตรีสมัยโรแมนติกที่ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์
- ยุคศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบัน (20th Century Music พ.ศ. 2443 - ปัจจุบัน)
นักดนตรีเริ่มแสวงหาดนตรีที่ไม่ขึ้นกับแนวทางในยุคก่อน จังหวะในแต่ละห้องเริ่มแปลกไปกว่าเดิม ไม่มีโน้ตสำคัญเกิดขึ้น (Atonal) ระยะห่างระหว่างเสียงเริ่มลดน้อยลง ไร้ท่วงทำนอง แต่นักดนตรีบางกลุ่มก็หันไปยึดดนตรีแนวเดิม เรียกว่านีโอคลาสสิก (Neo-Classic) นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่นอิกอร์ สตราวินสกี้ เป็นต้น
แบ่งตามประเภทวงที่บรรเลง และประเภทของการแสดง[แก้]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้ได้
- เครื่องดนตรีเดี่ยว
- เชมเบอร์มิวสิก
- วงดูโอ การผสมวงดนตรีร่วมกัน 2 คน เช่น เปียโนกับไวโอลิน หรือเปียโนกับนักร้อง
- วงทริโอ การผสมวงดนตรีร่วมกัน 3 คน เช่น ไวโอลิน 1, วิโอลา 1, เชลโล่ 1
- วงควอร์เต็ต การผสมวงดนตรีร่วมกัน 4 คน
- วงควินเต็ต การผสมวงดนตรีร่วมกัน 5 คน เช่น สตริงควินเต็ต (Strings Quintet) วงจะประกอบด้วยเครื่องสาย 5 ชิ้น ไวโอลิน 2, วิโอลา 2, และเชลโล่ 1
- วงเซ็กซ์เต็ต การผสมวงดนตรีร่วมกัน 6 คน
- วงซิมโฟนีออร์เคสตรา
- อุปรากร
- ละครบรอดเวย์
- บัลเลต์
- ขับร้อง
แบ่งตามโครงสร้างบทเพลง (Form)[แก้]
- คอนแชร์โต - Concerto
- ซิมโฟนี - [English: Symphony | French: Symphonie | German: Sinfonia]
- โซนาต้า - Sonata
- ฟิวก์ - Fugue เป็นการประพันธ์เพลงที่ได้รับการพัฒนาอย่างมากแขนงหนึ่ง นิยมในยุคบาโรค จะเริ่มต้นด้วยทำนองที่เรียกว่า Subject จากนั้นจะเปลี่ยนแปลงทำนอง เรียกว่า Answer
- พรีลูด - Prelude บทเพลงที่เป็นบทนำดนตรี มักใช้คู่กับเพลงแบบฟิวก์ หรือใช้บรรเลงนำเพลงชุด สำหรับงานเปียโนจะหมายถึงบทเพลงสั้น ๆ และบางครั้งมีความหมายเหมือนกับบทเพลงโหมโรงอุปรากร เช่น พรีลูดของวากเนอร์
- โอเวอร์เจอร์ - Overture เพลงโหมโรงที่บรรเลงก่อนการแสดงอุปรากรหรือละคร รวมถึงประพันธ์ขึ้นเดี่ยว ๆ สำหรับบรรเลงคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ เรียกว่า Concert Overture
- บัลลาด - Ballade เป็นบทประพันธ์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว พบมากในงานเปียโน ลักษณะเหมือนการเล่าเรื่องหรือถ่ายทอดความรู้สึกแบบบทกวี
- เอทู๊ด - Etude เป็นบทประพันธ์เพื่อฝึกหัดการบรรเลงด้วยเปียโนหรือไวโอลิน
- มาร์ช - March เป็นบทเพลงที่ประพันธ์เพื่อการเดินแถว ต่อมาพัฒนาไปสู่บทเพลงที่ใช้บรรเลงคอนเสิร์ต
- วาริเอชั่น - Variations
- แฟนตาเซีย หรือ ฟ็องเตซี - [Italian: Fantasia | French: Fantasy]
- น็อคเทิร์น - Nocturne/Notturno เป็นเพลงบรรเลงยามค่ำคืน มีทำนองเยือกเย็นอ่อนหวาน จอห์น ฟิลด์ ริเริ่มประพันธ์สำหรับเปียโน ซึ่งต่อมาโชแปงได้พัฒนาขึ้น
- มินูเอ็ต - [French: Minuet |Italian: Menuet]
- เซเรเนด - Serenade เพลงขับร้องหรือบรรเลงที่มีทำนองเยือกเย็นอ่อนหวาน มักเป็นบทเพลงที่ผู้ชายใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิง โดยยืนร้องใต้หน้าต่างในยามค่ำคืน
- แคนนอน - Canon เป็นคีตลักษณ์ที่มีแบบแผนแน่นอน มีการบรรเลง ทำนองและการขับร้องที่เหมือนกันทุกประการ แต่เริ่มบรรเลงไม่พร้อมกัน เรียกอีกชื่อว่า Round
- แคนแคน - Can-Can เป็นเพลงเต้นรำสไตล์ไนท์คลับของฝรั่งเศส เกิดในช่วงศตวรรษที่ 19
- คาปริซ - Caprice บทบรรเลงสำหรับเครื่องดนตรีที่มีลักษณะอิสระ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ มักมีชีวิตชีวา
- โพลก้า - Polka เพลงเต้นรำแบบหนึ่ง มีกำเนิดมาจากชนชาติโบฮีเมียน
- ตารันเตลลา - Tarantella การเต้นรำแบบอิตาเลียน มีจังหวะที่เร็ว
- จิก - Gigue เป็นเพลงเต้นรำของอิตาลี เกิดในศตวรรษที่ 18 มักอยู่ท้ายบทของเพลงประเภทสวีต (Suite)
- กาวอท - Gavotte เป็นเพลงเต้นรำของฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 17 มีรูปแบบแบบสองตอน (Two-parts) มักเป็นส่วนหนึ่งของเพลงประเภทสวีต (Suite)
- โพโลเนส - Polonaise เป็นเพลงเต้นรำประจำชาติโปแลนด์ เกิดในราชสำนัก โชแปงเป็นผู้ประพันธ์เพลงลักษณะนี้สำหรับเปียโนไว้มาก
- สวีต - Suite เพลงชุดที่นำบทเพลงที่มีจังหวะเต้นรำมาบรรเลงต่อกันหลาย ๆ บท พบมากในอุปรากรและบัลเลต์
- อาราเบส - Arabesque เป็นดนตรีที่มีลีลาแบบอาหรับ
- ฮิวเมอเรสค์ - Humoresque เป็นบทประพันธ์สั้น ๆ มีลีลาสนุกสนานร่าเริง มีชีวิตชีวา
- ทอคคาต้า - Toccata บทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด มีทำนองที่รวดเร็ว อิสระ ในแบบฉบับของเคาน์เตอร์พอยท์
- บากาเตล - Bagatelle เป็นคีตนิพนธ์ชิ้นเล็ก ๆ สำหรับเปียโน มีจุดเด่นคือทำนองจำได้ง่าย เช่น Fur Elise
- ดิแวร์ติเมนโต - Divertimento
- บทเพลงทางศาสนา - Sacred Music
- โมเต็ต - Motet เพลงขับร้องในพิธีกรรมของศาสนาคริสต์ ใช้วงขับร้องประสานเสียงในการร้องหมู่ ภายหลังจึงเริ่มมีเครื่องดนตรีประกอบเสียงร้อง
- แพสชั่น - Passion เพลงสวดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความทุกข์ยากของพระเยซู
- ออราทอริโอ - Oratorio เพลงขับร้อง บทร้องเป็นเรื่องขนาดยาวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ มีลักษณะคล้ายอุปรากร แต่ไม่มีการแต่งกาย ไม่มีฉากและการแสดงประกอบ
- คันตาตา - Cantata เพลงศาสนาสั้น ๆ มีทั้งร้องในโบสถ์และตามบ้าน
- แมส - Mass เพลงร้องประกอบในศาสนพิธีของศาสนาคริสต์
- เรควีเอ็ม - Requiem เพลงสวดเกี่ยวกับความตาย
รายชื่อคีตกวีแบ่งตามยุค[แก้]
- ยุคกลาง
- เลโอแนง (Léonin, ประมาณค.ศ. 1130-1180)
- เพโรแตง (Pérotin หรือ Perotinus Magnus, ประมาณค.ศ. 1160-1220)
- จาคาโป ดา โบโลนญา (Jacapo da Bologna)
- ฟรานเชสโก ลานดินี (Francesco Landini, ประมาณค.ศ. 1325-1397)
- กิโยม เดอ มาโชต์ (Guillaume de Machaut, ประมาณค.ศ. 1300-1377)
- ฟิลิปเป เดอ วิทรี (Phillippe de Vitry)
- โซลาช (Solage)
- เปาโล ดา ฟิเรนเซ (Paolo da Firenze)
- ยุคเรเนสซองส์
- จอห์น ดันสเตเบิล (John Dunstable)
- กิโยม ดูเฟย์ (Guillaume Dufay)
- โยฮันเนส โอคีกัม (Johannes Ockeghem)
- โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)
- จอสกิน เดส์ เพรซ์ (Josquin des Prez)
- ยาคอบ โอเบร็คท์ (Jacob Obrecht)
- โคลด เลอ เชิน (Claude Le Jeune)
- จิโอวันนี ปิแอร์ลุยจิ ดา ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi da Palestrina)
- วิลเลียม เบิร์ด (William Byrd)
- คลอดิโอ มอนเทแวร์ดี (Claudio Monteverdi)
- ออร์ลันโด้ ดิ ลัสโซ (Orlando di Lasso)
- คาร์โล เกซวลโด (Carlo Gesualdo)
- อาดริออง วิลแลร์ต (Adriane Willaert)
- ยุคบาโรค
- ดิทริช บุกส์เตฮูเด (Dietrigh Buxtehude, ประมาณค.ศ. 1637-1707)
- โยฮันน์ พาเคลเบล (Johann Pachelbel, ค.ศ. 1653-1706)
- อเลสซานโด สการ์แลตตี (Alessando Scarlatti, ค.ศ. 1660-1725)
- อันโตนีโอ วีวัลดี (Antonio Vivaldi, ค.ศ. 1678-1714)
- โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach, ค.ศ. 1685-1750)
- เกออร์ก ฟรีดริค ฮันเดล (Georg Friedrich Händel, ค.ศ. 1685-1759)
- ฌอง-แบ๊ปติสต์ ลุลลี่ (Jean Baptist Lully)
- ฌอง ฟิลลิป ราโม (Jean Phillippe Rameau)
- เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ (Georg Phillip Telemann)
- เฮ็นรี่ เพอร์เซ็ล (Henry Purcell)
- ยุคคลาสสิก
- คริสตอฟ วิลลิบัลด์ กลุ๊ค (Christoph Willibald Gluck, ค.ศ. 1750-1820)
- ฟรานซ์ โยเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn, ค.ศ. 1732-1809)
- โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart, ค.ศ. 1756-1791)
- ลุดวิก ฟาน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven, ค.ศ. 1770-1827)
- คาร์ล ฟิลลิป เอ็มมานูเอ็ล บาค (Carl Phillip Emanuel Bach)
- โยฮัน คริสเตียน บาค (Johann Christian Bach)
- ยุคโรแมนติก
- จิโออัคคิโน รอซสินี (Gioacchino Rossini)
- ฟรานซ์ ปีเตอร์ ชูเบิร์ต (Franz Peter Schubert)
- เอกเตอร์ แบร์ลิออส (Hector Berlioz)
- เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น-บาร์โธลดี (Felix Mendelssohn-Batholdy)
- เฟรเดริก ฟรองซัวส์ โชแปง (Frédéric François Chopin)
- นิกโคโล ปากานินี (Niccolò Paganini)
- โรเบิร์ต อเล็กซานเดอร์ ชูมันน์ (Robert Alexander Schumann)
- ฟรานซ์ ลิซท์ (Franz Liszt)
- ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner)
- จูเซปเป แวร์ดี (Giuseppe Verdi)
- เบดริช สเมทานา (Bedrich Smetana)
- โยฮันเนส บราห์มส์ (Johannes Brahms)
- จอร์จ บิเซต์ (Georges Bizet)
- ปีเตอร์ อิลยิช ไชคอฟสกี (Peter Ilyich Tchaikovsky)
- แอนโทนิน ดโวชาค (Antonín Dvořák)
- จิอาโคโม ปุชชีนี (Giacomo Puccini)
- กุสตาฟ มาห์เลอร์ (Gustav Mahler)
- เซอร์เก วาซิลีวิช รัคมานินอฟ (Sergej Vasilevič Rakhmaninov)
- ริชาร์ด สเตราส์ (Richard Strauss)
- จีน ซิเบลิอุส (Jean Sibelius)
- โยฮันน์ ชเตราสส์ ที่หนึ่ง บิดา (Johann Strauss father)
- โยฮันน์ ชเตราสส์ ที่สอง บุตร (Johann Strauss son)
- ฌาร์ค ออฟเฟนบาค (Jacques Offenbach)
- ชาร์ล กูโนด์ (Charles Gounod)
- อันโตน บรูคเนอร์ (Anton Bruckner)
- ฮูโก โวล์ฟ (Hugo Wolf)
- ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์
- โคล้ด เดอบุซซี (Claude Debussy)
- มอริซ ราเวล (Maurice Ravel)
- ยุคศตวรรษที่ 20 - ปัจจุบัน
- ชาร์ลส์ ไอฟส์ (Charles Ives)
- อาร์โนลด์ เชินแบร์ก (Arnold Schoenberg)
- คาร์ล ออร์ฟ (Carl Orff)
- เบลา บาร์ต็อก (Béla Bartók)
- โซลตัน โคดาย (Zaltán Kodály)
- อิกอร์ สตราวินสกี้ (Igor Stravinsky)
- อันโตน เวเบิร์น (Anton Webern)
- อัลบัน แบร์ก (Alban Berg)
- เซอร์เก โปรโคเฟียฟ (Sergei Prokofiev)
- พอล ฮินเดมิธ (Paul Hindemith)
- จอร์จ เกิร์ชวิน (George Gershwin)
- อารอน คอปแลนด์ (Aaron Copland, ค.ศ. 1900-1990)
- ดมิทรี ดมิทรีวิช ชอสตาโควิช (Dmitri Dmitrievich Shostakovich, ค.ศ. 1906-1975)
- โอลิวิเยร์ เมสเซียง (Olivier Messiaen, ค.ศ. 1908-1992)
- เอลเลียต คาร์เตอร์ (Elliott Carter, ค.ศ. 1908-ปัจจุบัน)
- วิโทลด์ ลูโทสลาฟสกี้ (Witold Lutoslawski)
- จอห์น เคจ (John Cage, ค.ศ. 1912-1992)
- ปิแอร์ บูแลซ (Pierre Boulez, ค.ศ. 1925-ปัจจุบัน)
- ลูชาโน เบริโอ (Luciano Berio, ค.ศ. 1925-2003)
- คาร์ลไฮน์ สต็อกเฮาเซน (Karlheinz Stockhausen, ค.ศ. 1928-2006)
- ฟิลิป กลาส (Philip Glass)
- ลุยจิ โนโน (Luigi Nono)
- ยานนิส เซนาคิส (Iannis Xenakis, ค.ศ. 1922-2001)
- มิลตัน แบ็บบิท (Milton Babbitt)
- วอล์ฟกัง ริห์ม (Wolfgang Rihm)
- อาร์โว แพรท (Arvo Pärt)
- โซเฟีย กุไบดูลินา (Sofia Gubaidulina)
- Giya Kancheli
- ยอร์กี ลิเกตี (György Ligeti)
- กชึชตอฟ แปนแดแรตสกี (Krzysztof Penderecki)
- ยอร์กี เคอร์ทัค (György Kurtag)
- เฮลมุต ลาเคนมานน์ (Helmut Lachenmann)
- สตีฟ ไรค์ (Steve Reich)
- จอห์น อดัมส์ (John Adams)
- John Zorn
- โตรุ ทาเคมิตสึ (Toru Takemitsu)
- Tan Dun
- Chen Yi
- Unsuk Chin
- ดูเพิ่มได้อีกที่ คีตกวี
คีตกวีชาวไทยที่ประพันธ์ดนตรีคลาสสิกในปัจจุบันที่มีงานดนตรีออกมาอย่างสม่ำเสมอ[แก้]
- ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร www.narongrit.com
- วีรชาติ เปรมานนท์
- จิรเดช เสตะพันธุ
- ณรงค์ ปรางเจริญ www.narongmusic.com
- เด่น อยู่ประเสริฐ
- บุญรัตน์ ศิริรัตนพันธ boonrut.blogspot.com
- วานิช โปตะวนิช
- อภิสิทธ์ วงศ์โชติ
- อติภพ ภัทรเดชไพศาล
- สุรัตน์ เขมาลีลากุล
- นบ ประทีปะเสน
- ศิรเศรษฐ ปันธุรอัมพร
- วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น
- จักรี กิจประเสริฐ
- อโนทัย นิติพล
- สุระศักดิ์ อุตส่าห์http://th-th.facebook.com/people/Zurazak-Ut-sa/553050656
- ยังไม่ได้จัดหมวดหมู่
- เอริก ซาที (Erik Satie)
- คาร์ล เซอร์นี (Carl Czerny)
- โยฮันน์ ฟรีดริค ฟรานซ์ เบิร์กมุลเลอร์ (Johann Friedrich Franz Burgmüller)
- ฟรานซิส ปูเลงค์ (Francis Poulenc)
อ้างอิง[แก้]
- คมสันต์ วงค์วรรณ์. ดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2551
- สุรพงษ์ บุนนาค, ดนตรีแห่งชีวิต. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. 2549
- ณรุทธ์ สุทธจิตต์. สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2548
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)